30 ตุลาคม 2552

ไม้ดอกหอมของไทย

บุนนาค

ชื่อวิทยาศาสตร์ Mesua ferrea L.
ชื่อวงศ์ GUTIFERAE (CLUSIACEAE)
ชื่อพื้นเมือง(Common name) ก๊าก่อ ( กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) ก้ำก่อ ( ชาน แม่ฮ่องสอน) บุนนาค ( ทั่วไป) ปะนาคอ ( มาลายู ปัตตานี) สารภีดอย( เชียงใหม่) นาคบุตร( ใต้)
ชื่อสามัญ Iron wood, Indian rose chestnut
ลักษณะต้น บุนนาคสามารถมีอายุเป็นร้อยปีขึ้นไป แต่ว่าการเจริญเติบโตช้า บุนนาคได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ดอกสวยงามและหอม นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นไม้ที่มีใบสวยงามอีกด้วย บุนนาคเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดต้นสูงได้มากกว่า 25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มรูปกรวย ลำต้นเรียบ ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ๆ สลับกัน ทรงใบรูปหอกแหลมเรียวปลาย ด้านบนใบเป็นสีเขียวด้านล่างเขียวอ่อนเกือบขาว
ขนาดของใบกว้างประมาณ 3 ซม. ยาวไม่เกิน 12 ซม. ดอกออกเป็นช่อ ช่อละ 3-4 ดอก ขนาดดอกบานเต็มที่ประมาณ 6.5-9 ซม. กลีบดอกสีขาว หรือสีเหลืองอ่อนเรียง 2 ชั้นสลับกันชั้นละ 2 กลีบ เกสรตัวผู้มีมากกระจุกเป็นฝอยสี
เหลืองสดใส ดอกมีกลิ่นหอมมาก ออกดอกในช่วยเ
ดือนมีนาคม ถึงกรกฎาคมทุกปี บุนนาคชอบความชื้นในอากาศสูง เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้กลางแจ้ง ให้ร่มเงา ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยสามารถเก็บความชื้น ได้สูง อาจหาวัสดุคลุมดินช่วย การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด จะดีที่สุด วิธีอื่นจะได้ต้นที่ไม่สมบูรณ์ แต่จะใช้เวลาในการปลูกนานมาก คือไม่ต่ำกว่า 6 ปี จึงจะออกดอก การตอนกิ่ง พบว่าออกรากยากมาก แต่ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ออกดอกได้เร็วขึ้น






ทิวาราตรี

ชื่อวิทยาศาสตร์ Cestrum Diurnum L.

ชื่อสามัญ Day Cestrum

ทิวาราตรี เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 - 5 เมตร แตกกิ่งยืดยาวจำนวนมาก เป็นไม้ดอกหอมสกุลเดียวกับราตรี คนไทยรู้จักกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ออกดอกดกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ใบมีลักษณะรูปรีแกมใบหอกขอบ ใบเป็นคลื่น ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกเล็ก มี 5 - 6 กลีบ ปลายกลีบม้วนออกกลิ่น หอมตอนกลางวัน เมล็ดแก่เป็นสีดำซึ่งต่างจากราตรีที่เป็นสีขาว ออกดอกตลอดปี ทิวาราตรี เป็นพรรณไม้ชอบ แดดจัดหรือแดดเต็มวัน ชอบดินชุ่มชื้น ธาตุอาหารสมบูรณ์ หมั่นตัดแต่งกิ่ง พรวนดินและใส่ปุ๋ย กิ่งที่แตกใหม่จะแข็งแรง และจะทำให้ดอกดกตลอด









กระทิง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Calophyllum inophyllum L
มีชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ: กระทิง กากะทิง (ภาคกลาง), ทิง (กระบี่), เนาวกาน (น่าน), สารภีทะเล (ประจวบคีรีขันธ์), สารภีแนน (ภาคเหนือ)
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูง 20 – 25 เมตร เปลือกเรียบสีเทาอ่อนหรือน้ำตาลปนเหลือง เปลือกในสีชมพูเนื้อไม้สีน้ำตาลปนแดง ใบเป็นใบเดี่ยว ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม สีเขียวเข้ม กิ่งอ่อนเกลี้ยง ยอดอ่อนเรียวเล็ก ปลายทู่ ออกดอกเป็นช่อสั้นที่ซอกใบบริเวณปลายกิ่ง มีดอกย่อย กลีบดอกสีขาว เกสรเพศผู้สีเหลือง มีกลิ่นหอม ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ผลเป็นผลสดทรงกลม ปลายผลเป็นติ่งแหลม เมื่อสุกจะมีสีเหลืองการดูแลรักษาทำได้โดยชอบดินร่วนปนทรายหรือดินทราย ความชุ่มชื้นปานกลาง





หีบไม้งาม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carissa grandiflora A. DC วงศ์ : APOCYNACEAE
ชื่อสามัญ : หีบไม้งาม
เป็นไม้พุ่มขนาด กลาง สูงได้ถึง 2 เมตร ดอกบาน หมุนเวียนตลอดปี อัตราการเจริญเติบโตช้า ชอบแสงแดดรำไร – แดดจัด ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากซ้อนกันถี่ ใบรูปไข่ กว้าง 3-5 ซม. ยาว 4-6.5 ซม.ปลายใบมนมีติ่งหนามสั้น โคนใบรูปหัวใจหรือตัด ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา แข็ง ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีเขียวอ่อนดอก ออกเป็นดอกเดี่ยว แต่รวมกันเป็นช่อกระจุกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ช่อละ1-3 ดอก สีขาว กลิ่นหอม มีกลีบเลี้ยงเล็ก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก ดอกบานเต็มที่ 2-3 ซม.ออกหมุนเวียนตลอดปี ผล ทรงกลมแป้นเล็กน้อย ขนาด 2-4 ซม.เมื่อสุกสีแดงปนดำ มี 6-10









เข็มหอม
ชื่อวิทยาศาสตร์:Ixora finlaysonia wall. ex 6. Don ชื่อวงศ์ :RUBIACEAE
ชื่อสามัญ:siamese white Ixora
ชื่ออื่นๆ :เข็มพวงขาว
ลักษณะทั่วไป
ไม้พุ่มสูง 1-3 เมตร สำต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งใกล้ผิวดินจำนวนมาก แต่ละต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางของ
ลำต้น 1-2 เซนติเมตร เปลือกสีดำหรือม่วงเข้ม ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีแกมขอบขนาน หน้าใบมัน มีสีเขียวเข้ม หลังใบสีอ่อนกว่าและเห็นเส้นใบชัดเจน ช่อดอกสีขาว ออกที่ปลายยอด มีเส้นผ่าศูนย์กลางช่อดอก 8-18 เซนติเมตร มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงสีเขียวรูปถ้วย ปลายแยกเป็นกลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ๆ ยาว 2.5-3 เซนติเมตรปลายหลอดมีกลีบแยกจากกันเป็น 4 กลีบ แต่ละกลีบรูปไข่กว้าง 0.3
เซนติเมตร ยาว 0.6 เซนติเมตร เมื่อดอกบานมีเส้น ผ่าศูนย์กลาง 1.2-2 เซนติเมตร ดอกย่อยภายในช่อดอก
เดียวกันบานในเวลาใกล้เคียงกัน ดอกที่บานใหม่ ๆ จะมีสีขาว บริสุทธิ์ เมื่อใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ดอกมีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี




กระดังงาสงขลา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cananga odorata Hook.f. et Th. Var. fruticosa (Craib) J.Sincl. วงศ์ : ANNONACEAE
ชื่ออื่น : กระดังงาสาขา (กรุงเทพฯ) กระดังงาเบา (ใต้) กระดังงอ (ยะลา)
กระดังงาสงขลา เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-3 เมตร แตกกิ่งมาก ใบหนาเป็นทรงพุ่มแน่น ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกที่บริเวณปลายกิ่ง กลีบดอกมีสีเหลือง กลีบเรียวยาวบิดเป็นเกลียวและอ่อนนิ่ม มีกลีบดอก 15-24 กลีบ เรียงตัวหลายชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบยาว 5-9 เซนติเมตร ดอกอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อเริ่มบานจึงเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมแรง ออกดอกได้ตลอดทั้งปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่มสวยงาม ดอกมีกลิ่นหอม และดอกยังนิยมนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอกระเหย กระดังงาสงขลาขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยการตอนกิ่ง กิ่งตอนออกรากง่าย ชอบดินที่มีความชุ่มชื้นสูง และชอบแสงแดดจัด


กระดังงาไทย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cananga Odorata (Lamk.) Hook. F.et Th.
วงศ์ : ANNONACEAE
ชื่อสามัญ : Ilang – ilang
ชื่ออื่น : กระดังงา กระดังงาใหญ่ สะบันงา สะบันงาต้น
กระดังงาไทยเป็นไม้ยืนต้น เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดความสูงประมาณ 8-15 เมตร ออกดอกตลอดทั้งปี ออกดอกเป็นช่อ ๆ ช่อละ 3-6 ดอก กลีบดอกอ่อนนุ่น เรียวยาวและบิด มี 6 กลีบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมรุนแรง ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง ส่วนใหญ่นิยมขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เพราะเมล็ดหาง่าย และเพาะให้งอกได้อย่างรวดเร็ว กระดังงาไทยชอบอยู่กลางแจ้งในสภาพดินที่มีความชุ่มชื้นสูง สำหรับผู้ที่ต้องการจะปลูก จำเป็นจะต้องมีพื้นที่หน้าบ้านพอสมควร เพราะกระดังงาไทยเป็นไม้เป็นไม้ยืนต้นขนาดค่อนข้างใหญ่

25 ตุลาคม 2552

ทำความรู้จักกับเฟิร์น"กระเช้าสีดา"

เฟิร์นสกุลชายผ้าสีดา Platycerium (plat-ee-sir-ee-um แพล๊ท-ตี-เซอ-รี-อัม) ในบ้านเรา ภาคใต้เรียก "ชายผ้าสีดา" ภาคอีสาน เรียก "กระเช้าสีดา" หรือ"สไบสีดา" และภาคเหนือเรียก "ห่อข้าวสีดา" หรือ "หัวเฒ่าย่าบา"
ชื่อ "สีดา" นี้เป็นชื่อของนางเอกในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ในขณะที่ทางต่างประเทศเขาไม่มีตัวละครแบบเรา จึงตั้งชื่อเปรียบกับเขาของกวาง ที่แตกเป็นแฉก หรือเปรียบเป็นมงกุฏของนางฟ้า
ชื่อสกุล Platycerium มาจากคำในภาษากรีกว่า platys+kera (platy แปลว่า broad เป็นแผ่น และ keras แปลว่า horn เขาของสัตว์) นอก จากนี้ ยังมี นิทานเพื้นบ้านของคนไทย ในดินแดนประเทศจีนปัจจุบัน เล่าเกี่ยวกับเฟินชายผ้าสีดาอีกด้วย เฟินชายผ้าสีดา เป็นเฟินที่มีเสน่ห์ มีลักษณะที่แตกต่างจากเฟินทั่วไป จัดอยู่ในจำพวกไม้อากาศ ในธรรมชาติพบเกาะอยู่ตามคาคบไม้ แต่ไม่ได้เป็นไม้กาฝาก เพียงขอเกาะอาศัย เพื่อรับแสงแดดและลม หรืออาจพบเกาะอยู่ตามโขดหิน หน้าผาหิน ก็มี พบอยู่ในเป่าเขตร้อนและกึ่งร้อนทั่วโลก ด้วยเสน่ห์น่าหลงไหลของเฟินชายผ้าสีดา จึงเป็นที่นิยมนำมาปลูกประดับสถานที่ กำแพงบ้าน หรือกระถางแขวน กระเช้าแขวน หรือเกาะบนต้นไม้ใหญ่ในสวน


+++++++++เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่ http://greenlover.tht.in+++++++++++++++

กระเช้าสีดาสายพันธุ์ต่างๆ


1)สายม่าน
Platycerium coronarium (J.G. Koen.ex. Muell) Desv.
ชื่อสามัญ : Disk Staghorn, Crown Staghorn
ชื่ออื่น : สายม่าน สายวิสูตร (ชื่อทางการค้าใน กทม.) กระจาด กระปรอกกระจาด (ชลบุรี) กระปรอก (ใต้) หัวสีดา ห่อข้าวสีดา หัวอีโบ(อีสานใต้และตะวันออก)
เฟินชายผ้าสีดาชนิดนี้ ในต่างประเทศย่องยกให้เป็นชายผ้าสีดาชนิดที่สวยงามที่สุดในโลก

ถิ่นกำเนิดอยู่ในอาเซียน ในธรรมชาติมักพบเกาะอาศัยอยู่ตามลำต้นไม้ใหญ่ ู่ในป่าโปร่ง ที่ระดับความสูงปานกลางจากระดับน้ำทะเล กระจายพันธุ์อยู่ใน ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย พม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ในบ้านเราพบมากทางภาคตะวันออกและภาคใต้ หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ภาคใต้ พบตามสวนยางและป่าดิบชื้นที่ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก๊ต นครศรีธรรมราช ยะลา สตูล





2) เขากวาง ( ตั้ง )

Platycerium ridleyi H. Chris.
ชื่ออื่น : ชายผ้าสีดา-กระเช้าเขากวาง (ตั้ง)
กระเช้าเขากวาง เป็นเฟินชายผ้าสีดาอีกชนิดหนึ่ง ชื่อชองชนิด ตั้งให้เป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ J. Ridley ที่เข้ามาทำการสำรวจเฟินในมาเลเซียและเขียนหนังสือ ชื่อ "Ferns of The Malaysia"

เฟิร์นชนิดนี้ มักพบเกาะอาศัยอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ที่ระดับความสูงจากพื้นดินมากกว่า 20 ม. ขึ้นไป เป็นเฟินที่ชอบอากาศถ่ายเทสะดวก และต้องการแสงมาก พบที่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นราธิวาส ลงไปมาเลเซียและอินโดนีเซีย

ในธรรมชาติ เฟินชนิดนี้จะอาศัยอยู่ร่วมกับมด ด้วยลักษณะของกาบใบที่ห่อหุ้มกิ่งไม้อย่างแน่น เป็นร่องไขว้ไปมา ทำให้เกิดช่องว่างภายในจำนวนมาก เหมาะที่มดจะเข้าไปอาศัยทำ รังหลบแดดกันฝนได้เป็นอย่างดี มดผู้อยู่อาศัยจะคาบเอาเศษอาหาร เศษดิน เศษอินทรีย์วัตถุต่างๆ เข้ามาในรัง อีกทั้งมูลที่มดขับถ่ายออกมา เหล่านี้ จะกลายเป็นปุ๋ยให้แก่เฟิน อีกทั้งมดยังคอยกำจัด หรือขับไล่แมลงอื่นๆ ที่จะมากัดกินหรือทำลายต้นเฟินด้วย ด้วยลักษณะเช่นนี้ เป็นการอาศัยอยู่ร่วมกัน แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ได้ประโยชน์ร่วมกัน

การปลูกเลี้ยง : จากลักษณะโครงสร้างของต้นและสภาพของถิ่นที่อยู่อาศัยในธรรมชาติ ทำให้เราทราบได้ว่า เฟินชนิดนี้ ต้องการความชื้นสูงหรือมีไอน้ำมากในบรรกาศรอบๆ ต้น อีกทั้งยังต้องการแสงมากด้วย แต่ไม่ชอบปริมาณน้ำมาก
การให้น้ำ : ต้องดูแลเรื่องปริมาณน้ำและความชื้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรรดน้ำชุ่มโชกมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ควรกรอกน้ำใส่เข้าไปภายในระบบรากที่ใบกาบที่ห่อ เพราะจะทำให้ต้นอ่อนแอ ใบเน่าได้ง่ายโดยเชื้อแคงเกอร์ จึงควรพรมน้ำเป็นละอองฝอยให้เปียกทั่วแต่เพียงภายนอก และให้ฝอยละอองน้ำตกลงที่บนใบเขา ให้น้ำไหลรวมกันเข้าไปตามร่องน้ำที่ก้านใบ ซึ่งเป็นจังหวะพอดีตามธรรมชาติ
รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมที่ปลูกเลี้ยง ให้มีความชุ่มชื้นอยู่สม่ำเสมอ








+++++++++เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่ http://greenlover.tht.in+++++++++++++++


3)หูช้างไทย Platycerium holttumii



ชื่ออื่น : กระเช้าสีดา, ข้าวห่อพญาอินทร์ ชายผ้าสีดา-หูช้าง* (* ชื่อทางการค้า ใน กทม. ตั้งกันเอง)



กระเช้าสีดา-หูช้างไทย มีถิ่นกำเนิดในไทย ลาว และเวียดนาม พบทั่วไปทั่วทุกภาคของบ้านเรา แต่พบมากทางภาคเหนือและอีสาน เป็นเฟินชายผ้าสีดาขนาดใหญ่ มักพบอาศัยอยู่ตามคาคบไม้ขนาดใหญ่ระดับสูง 7-10 ม. จากพื้นดิน ในป่าดิบแล้งเฟินชนิดนี้ ผู้คนในเมืองจำนวนมาก โดยเฉพาะใน กทม. นิยมหามาปลูกเลี้ยงกันมาก นิยมปลูกเลี้ยงติดไว้บนต้นไม้ ทำให้ดูเหมือนป่าธรรมชาติ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่ส่วนมาก หรือเกือบทั้งหมดก็ว่าได้กระเช้าสีดาที่หามาปลูกกันนั้น เป็นต้นที่เก็บจากป่าธรรมชาติ ที่ชาวบ้านเข้าไปเก็บเอาออกมาขาย และด้วยความนิยอย่างมแพร่หลายมากนี้เอง ทำให้กระเช้าสีดามีโอกาส สูญพันธุ์จากป่าธรรมชาติ เพราะ เก็บออกมาตั้งแต่ต้นเล็กกว่าฝ่ามือ ไปจนถึงขนาดใหญ่ถึง 2 ม. ก็มี ประกอบกัน เฟินชนิดนี้ เจริญเติบโตช้ามาก ขนาดต้นกว้างเท่าฝ่ามือ 10 ซ.ม. อายุก็ราว 3 ปีเข้าไปแล้ว และกว่าจะโตได้ขนาดต้นสัก 50 -60 ซ.ม. ยิ่งต้องใช้ระยะเวลานานหลายปี



ลักษณะทั่วไป : ทั่วทั้งต้นสีเขียวปนน้ำเงิน มีขนนวลขาวปกคลุมทั่ว ใบแข็งหนาเป็นมัน เหมือนหนัง ลำต้นเป็นแท่งเหง้าแบบแท่งดินสอ ฝังตัวอยู่ในระบบรากและใบกาบห่อหุ้ม โผล่ออกมาแต่ตายอด ที่ยอดเหง้าปกคลุมแน่นด้วยเกล็ดยาว รูปขอบขนาน ปลายสอบแหลม เกล็ดมีขนาดใหญ่ได้ถึง 15 x 1.5 ม.ม. ขอบเกล็ดหยักเป็นซี่ฟันที่ยอดเหง้า เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด หากยอดเหง้าถูกทำลาย อาจทำให้ต้นตายได้ เพราะกระเช้าสีดาไม่แตกหน่อใหม่ที่ปลายราก แบบชายผ้าสีดาบางชนิด

การปลูก : ปลูกเลี้ยงและดูแลง่าย เจริญเติบโตได้ตลอดปี หากได้รับความชื้นสม่ำเสมอตลอดและอุณหภูมิไม่ต่ำจนถึงหนาวเย็น การปลูก เหมาะปลูกติดกับลำต้นหรือกิ่งไม้ใหญ่ๆ ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ หรือปลูกติดตอไม้ ชอบแสงแดดรำไรถึงแสงแแดมาก มีความชุ่มชื้นในอากาศสูง ไม่ควรรดน้ำเข้าไปที่นะบบรากมากๆ จะทำให้ต้นเน่าง่าย ควรเว้นช่วงระยะให้รากแห้งบ้าง โดยเฉพาะหน้าฝน หากฝนชุก จึงควรปลูกเลี้ยงให้ได้แสงแดดอย่างน้อยครึ่งวัน เพื่อให้แดดช่วยทำให้น้ำระเหยไปได้เร็ว

การขยายพันธุ์ : กระเช้าสีดา-หูช้างไทย เป็นต้นเดี่ยว ไม่แตกหน่อต้นใหม่ การขยายพันธุ์จำเป็นต้องอาศัยงอกจากสปอร์ใหม่เสมอสำหรับการเพาะสปอร์ ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร กว่าจะได้ต้นขนาดสัก 1-2 นิ้ว อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 1-2 ปี และเมื่ออายุต้นเข้าปีที่ 3 ต้นจะเติบโตเร็วมาก ใบกาบใหม่จะขยายใหญ่เร็วมาก




+++++++++เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่ http://greenlover.tht.in+++++++++++++++

4)ปีกผีเสื้อ Platycerium wallichii
ชื่อสามัญ Indian Staghorn Fern ชื่ออื่น : ห่อข้าวสีดา ห่อข้าวย่าบา ตองห่อข้าวย่าบา หัวเฒ่าอีบา กระฌอโพน่า กระปรอกหัวหมู กระปรอกใหญ่ ปีกผีเสื้อ (กทม)


เฟิร์นปีกผีเสื้อP. wallichii เป็นเฟินชายผ้าสีดาที่สวยงามมากอีกชนิดหนึ่ง จัดเป็นเฟินชายผ้าสีดาที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับอีก 3 ชนิดที่พบในบ้านเรา และอาจจัดเป็นดัชนีของป่าเบญจพรรณได้ด้วย
ห่อข้าวสีดา P. wallichii มักพบในบริเวณป่าโปร่งๆ ได้รับแสงแดดเพียงพอ ถึงแดดครึ่งวัน จึงจะเจริญเติบโตได้ดี อีกทั้งยังต้องการอากาศเย็นชื้นในบางช่วงของปี มีการพักตัวหยุดการเจริญเติบโตในหน้าแล้งนานหลายเดือน โดยทุกส่วนจะแห้งและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ใบชายผ้าจะเหี่ยวและบิดม้วนเป็นเกลียว ดูราวกับว่ามันตายไปแล้ว จวบจนฤดูฝนใหม่มาถึง ใบชายผ้าที่เหี่ยวนั้น จะคลี่ออกและเขียวสดขึ้นมาดังเดิม และเริ่มผลิใบรุ่นใหม่ออกมาอีกครั้ง

ลักษณะทั่วไป : เป็นเฟินชายผ้าสีดาต้นเดี่ยว ไม่แตกหน่อ มีขนาดกลาง หากอยู่ในป่าธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อาจพบต้นขนาดใหญ่ได้ ลำต้นเหง้าเป็นแท่งเลื้อยสั้น ปกคลุมแน่นด้วยเกล็ดแข็ง เกล็ดเป็นเส้นยาว สีน้ำตาลเข้ม บริเวณกลางเกล็ดสีอ่อน ทั่วทั้งต้นมีขนนุ่มสั้นทั่วไป ขนสีขาวนวล ใบหนานุ่มมือ เส้นใบปูดนูน มองเห็นได้ชัดเจน

การปลูกเลี้ยง : ต้องการแสงแดดรำไรถึงแสงมาก ความชุ่มชื้นในบรรยากาศควรสัมพันธ์กับแสง กล่าวคือ หากแสงน้อย ควรให้น้ำแต่น้อย ให้แค่พอมีความชื้น และหากแสงมาก ควรให้น้ำและความชื้นมากตามด้วย ประกอบกับ ต้องปล่อยให้มีช่วงที่ระบบรากมีโอกาสแห้งบ้าง หากระบบรากเปียกแฉะตลอด ติดต่อกันหลายวัน อาจจะทำให้ต้นเน่าและตายได้

การขยายพันธุ์ : ชนิดนี้ ไม่แตกหน่อ อาศัยสปอร์เท่านั้น อีกทั้งสปอร์มีอายุสั้น ต้องรีบเพาะทันทีเมื่อเก็บสปอร์แก่มา บางคนแนะนำ ให้ตัดใบที่มีสปอร์แก่มา แล้วเก็บใสห่อกระดาษเอาไว้ นำไปแช่เย็น จะช่วยยืดอายุของสปอร์ให้เก็บได้ยาวนานขึ้น
+++++++++เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่ http://greenlover.tht.in++++++++++